
ก่อนจะตัดสินใจดึงหน้า…ต้องอ่าน!
เพราะการผ่าตัดดึงหน้า (Face Lift) ไม่ได้แค่ยกผิวให้ตึง แต่คือการย้อนเวลาให้ใบหน้าดูอ่อนเยาว์ลงแบบ “คนรอบข้างจำไม่ได้ว่าเคยหน้าแบบไหนมาก่อน!”
หลายคนคิดว่าแค่ยกคิ้ว ร้อยไหม หรือท HIFU ก็พอแล้ว…แต่วัย 40+ ขึ้นไป หรือใครที่มีปัญหาผิวหย่อนคล้อยชัดเจน ดึงหน้าอาจเป็นคำตอบที่ “ตรงจุดที่สุด” ถ้าทำโดยแพทย์ที่เข้าใจโครงสร้างใบหน้าและเทคนิคที่เหมาะสม
แต่! จะดึงหน้าให้ปัง ไม่พัง ไม่แข็ง ต้องรู้ก่อนว่าโครงสร้างชั้นผิวเราเป็นยังไง ต้องเข้าใจว่าทำไมบางเคสถึงดูธรรมชาติจนดูไม่ออกว่าเคยผ่าตัดมา และบางเคสดูดึงจนตกใจ

ปัญหาบนใบหน้าของคุณคืออะไร ?
ก่อนจะท ศัลยกรรมดึงหน้า คุณควรสำรวจตัวเองก่อนว่า “ใบหน้าของเรามีปัญหาอะไร?” เพราะปัญหาแต่ละอย่างอาจต้องใช้เทคนิคที่แตกต่างกัน เช่น
- แก้มตก ร่องแก้มลึก → เหมาะกับ Mid Face Lift
- เหนียง คางสองชั้น → อาจต้องดึงพร้อม Neck Lift
- ขอบกรามไม่ชัด → ต้องยกกระชับส่วนล่าง
- คิ้วตก หนังตาหย่อน → ควรดึงร่วมกับการยกคิ้ว Endotine
การรู้ว่าปัญหาอยู่จุดไหน จะช่วยให้คุณเลือกวิธีการดึงหน้าที่เหมาะกับตัวเอง และได้ผลลัพธ์ที่ดูเป็นธรรมชาติที่สุด

อายุเท่าไหร่ถึงควรเริ่มดึงหน้า?
อายุเป็นเพียงแนวทางเบื้องต้น แต่ไม่ใช่กฎตายตัวของการดึงหน้า โดยทั่วไป
- อายุ 30–40 ปี : ผิวเริ่มหย่อนเล็กน้อย เหมาะกับการดึงหน้าเฉพาะจุด เช่น Mid Face / ยกคิ้ว
- อายุ 40–50 ปี : มีริ้วรอยชัด แก้มหย่อนชัดเจน เหมาะกับ Full Facelift + ดึงหน้าส่องกล้อง
- อายุ 50 ปีขึ้นไป : หย่อนคล้อยทั้งใบหน้า เหนียงและคอเห็นชัด → แนะน Full Facelift + Neck Lift

“ดึงหน้าแบบไหนดี ?”
เพราะการยกกระชับไม่ใช่แค่เรื่องความสวย…แต่คือ “การเลือกวิธีที่ใช่สำหรับโครงสร้างใบหน้าของเรา”
ไม่ใช่ทุกคนจะต้อง Full Facelift
บางคนแค่มีร่องแก้มลึก แก้มหย่อนเล็กน้อย → Mid Facelift ก็เอาอยู่
ถ้าหน้าเริ่มคล้อยแต่ยังไม่มาก → Endoscopic Facelift เจ็บน้อย แผลเล็ก ฟื้นตัวไว
หรือใครมีเหนียงเยอะ คอเริ่มย้อย → Neck Lift จะช่วยยกแนวกรอบหน้าลงมาถึงลำคอ
เทคนิคแต่ละแบบมีจุดเด่นต่างกัน
การเลือกให้เหมาะ = ได้ผลลัพธ์ธรรมชาติ ไม่แข็ง ไม่โป๊ะ และไม่ดึงเกิน
หมอแนะนำให้ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญด้านโครงสร้างใบหน้าโดยเฉพาะ จะได้เลือกวิธีที่ใช่และปลอดภัยที่

ใครบ้างที่ศัลยกรรมดึงหน้าไม่ได้
ผู้ที่มีปัญหาเรื่องสุขภาพ หรือมีโรคประจำตัว เช่น โรคความดันโลหิตสูง โรคตับ โรคไต โรคเบาหวานที่ยังควบคุมระดับน้ำตาลไม่ได้
ผู้ที่มีปัญหาด้านการแข็งตัวของระบบเลือด เช่น ผู้ที่มีโรคประจำตัวบางอย่าง หรือผู้ที่ไม่ได้หยุดทานยาบางชนืด อาหารเสริม ล่วงหน้าก่อนผ่าตัดศัลยกรรมอย่างน้อย 7 วัน
ผู้ที่สูบบุหรี่เป็นประจ เนื่องจากมีการดมยาสลบในการผ่าตัด ผู้ที่สูบบุหรี่เป็นประจำจะมีปัญหาด้านการหายใจ
ผู้ที่มีความผิดปกติการยืดหยุ่นของผิวหนัง หรือผู้ขาดคอลลาเจนและอิลาสตินของผิวหนัง
ผู้ที่มีภาวะผิวหนังอักเสบ
ผู้ที่ต้องฉายรังสี หรือต้องให้เคมีบำบัด
ผู้ที่เป็นเคสแก้ เพราะการแก้หลายครั้งทำให้ระบบเลือดที่ผิวหนังไม่ปกติ ผลลัพธ์อาจจะไม่เป็นไปตามที่คาดหวัง
ผู้ที่ควบคุมน้ำหนักไม่นิ่ง น้ำหนักเกิน และไขมันในร่างกายมากเกินไป
ผู้ที่เคยร้อยไหม ฉีดฟิลเลอร์ใบหน้า ซ้ำๆกัน ทำให้เกิดภาวะพังผืดที่ติดแน่นกับผิวหนัง

✨ 7 ข้อควรรู้ “การดูแลตัวเองหลังดึงหน้า” พักฟื้นยังไงให้แผลสวย หน้าเข้าที่เร็ว ดูไม่โป๊ะ
1.ใส่ผ้ารัดหน้า (Face Bandage)
📌 ใส่ต่อเนื่อง 24-48 ชั่วโมงแรก ช่วยลดบวม และพยุงชั้นกล้ามเนื้อให้อยู่ทรง
📌 หลังจากนั้น หมอมักให้ใส่เฉพาะเวลานอนต่ออีก 7–14 วัน
❗ อย่าแกะเองเด็ดขาด ถ้าไม่ได้รับคำแนะนำจากแพทย์
2.ประคบเย็นในช่วง 3 วันแรก
📌 ช่วยลดอาการบวม แดง ช้
📌 ห้ามใช้น้ำแข็งแตะผิวโดยตรง ใช้ผ้าห่อน้ำแข็งก่อนทุกครั้ง
3.นอนยกหัวสูง งดนอนตะแคง
📌 เพื่อให้เลือดไหลเวียนดี ลดโอกาสบวม-เลือดคั่ง
📌 แนะนำให้นอนหนุนหมอน 2 ใบ หรือใช้หมอนรองคอ
4.ห้ามจับหน้าแรง / ไม่นวดหน้าเด็ดขาด!
📌 การดึงหน้าเป็นการย้ายและยึดชั้นกล้ามเนื้อ
📌 หากนวดหรือกดแรง อาจทำให้ชั้นกล้ามเนื้อเคลื่อน → หน้าเบี้ยวไม่รู้ตัว
5.หลีกเลี่ยงแสงแดดจัด 2-4 สัปดาห์
📌 แสงแดดอาจทำให้แผลเข้มขึ้น / เกิดรอยด
📌 ทาครีมกันแดดอย่างสม่ำเสมอหลังแผลปิดสนิท
6.งดอาหารเค็ม ของหมักดอง / ดื่มแอลกอฮอล์
📌 อาหารเค็มจะทำให้บวมง่าย
📌 แอลกอฮอล์รบกวนการสมานแผล และเสี่ยงติดเชื้อ
7.กลับไปพบแพทย์ตามนัดทุกครั้ง
📌 เพื่อดูความเรียบร้อยของแผล การยึดเกาะของกล้ามเนื้อ และสภาพผิว
📌 ถ้ามีอาการผิดปกติ เช่น แดงร้อน ปวดมาก หนอง → รีบพบแพทย์ทันที