
รู้มั้ย “ถุงใต้ตา” ไม่ได้แค่ทำให้หน้าดูโทรมเท่านั้นนะ แต่ยังทำให้ใบหน้าของเราดูเหนื่อยล้า หมองคล้ และมีอายุเกินจริง แม้จะพักผ่อนเพียงพอ หรือดูแลตัวเองดีแค่ไหนก็ตาม บางคนใช้สกินแคร์แพงๆ ทานอาหารที่มีประโยชน์ แต่ทำไมยังดูโทรมอยู่ลองแวะอ่านบทความนี้ก่อนะคะ โดยเฉพาะกลุ่ม ผู้ที่มีอายุมากกว่า 40 ปีขึ้นไป หรือผู้ที่มีพันธุกรรมเอื้อต่อการเกิดถุงใต้ตาจะยิ่งเห็นปัญหานี้ชัดเจนมากขึ้น การผ่าตัดถุงใต้ตา (Lower Eyelid Surgery) จึงเป็นทางเลือกหนึ่งที่สามารถแก้ไขได้อย่างตรงจุด และเห็นผลชัดเจนในระยะยาว
ถุงใต้ตาคืออะไร ?
ถุงใต้ตา (Lower Eyelid Bags) คือภาวะที่มีไขมันสะสมหรือนูนโป่งพองบริเวณเปลือกตาล่าง เกิดจากผนังกล้ามเนื้อและเนื้อเยื่อรอบดวงตาอ่อนตัวลง ทำให้ไขมันที่เคยพยุงอยู่ในเบ้าตาเคลื่อนตัวออกมาด้านหน้ามีลักษณะบวมเป็นก้อนคล้ายถุงน้ำ

สาเหตุของการเกิดถุงใต้ตา แบ่งได้เป็น 3 กลุ่มหลัก
- ความเสื่อมของโครงสร้างผิวและกล้ามเนื้อรอบดวงตา เมื่ออายุมากขึ้น (โดยเฉพาะช่วงอายุ 40–60 ปี)
- ผิวหนังเริ่มบางลง และเสียความยืดหยุ่นจากการลดลงของคอลลาเจนและอิลาสติน
- กล้ามเนื้อ orbicularis oculi ที่ทำหน้าที่พยุงเบ้าตาเริ่มหย่อนคล้อย
- ไขมันที่เคยถูกพยุงไว้จึงเคลื่อนตัวออกมาด้านหน้า ทำให้เกิดถุงใต้ตาอย่างถาวร
- พันธุกรรม บางคนมีโครงสร้างตาล่างที่บางหรืออ่อนแอโดยกำเนิด ทำให้เกิดไขมันสะสมตั้งแต่อายุยังน้อย เช่น
- ถุงใต้ตาชัดตั้งแต่อายุ 20–30 ปี
- ลักษณะเบ้าตาลึก ผิวบาง เห็นเส้นเลือดใต้ตาชัดเจน
เมื่อมีพฤติกรรมที่เร่งการเสื่อม เช่น การนอนดึกหรือขยี้ตาบ่อย จะทำให้ถุงใต้ตายิ่งเห็นชัดเร็วขึ้น
- พฤติกรรมกระตุ้นและปัจจัยภายนอก
แม้จะไม่มีพันธุกรรมหรืออายุยังไม่มาก แต่พฤติกรรมเหล่านี้สามารถกระตุ้นให้ถุงใต้ตาปูดบวมหรือเสื่อมสภาพได้เร็วขึ้น
- นอนดึก/พักผ่อนไม่พอ: ทำให้การไหลเวียนของน้ำเหลืองใต้ตาช้าลง เกิดการคั่งของของเหลว
- กินเค็ม: โซเดียมทำให้เกิดภาวะบวมน้ ส่งผลต่อการบวมใต้ตาโดยตรง
- ใช้สายตาหนัก/ขยี้ตา: ทำให้ผิวบริเวณนี้เสื่อมเร็ว เกิดการอักเสบเรื้อรัง
- สูบบุหรี่/ดื่มแอลกอฮอล์: ทำลายคอลลาเจน กระตุ้นอนุมูลอิสระให้ผิวบางและหมองคล้ำ
ภูมิแพ้หรือไซนัส: ทำให้เนื้อเยื่อรอบดวงตาอักเสบ มีการคั่งของน้ำเหลืองบ่อยครั้ง

ผ่าตัดถุงใต้ตาเหมาะกับใคร
- ผู้ที่มีถุงไขมันใต้ตาบวมนูน จนเห็นเป็นก้อน ทำให้ใต้ตาดูโทรม ไม่สดใส
- ผู้ที่มีผิวหนังบริเวณใต้ตาหย่อนคล้อย ทำให้เกิดรอยเหี่ยวย่น ดูแก่ก่อนวัย
- ผู้ที่มีถุงใต้ตา 2 ข้างไม่เท่ากัน
- ผู้ที่มีตาล่างแบะออก หางตาตก จากอายุที่มากขึ้น
- ผู้ที่ใบหน้าดูเหนื่อยล้าแม้จะพักผ่อนเพียงพอ
- ผู้ที่ต้องการผลลัพธ์แบบถาวร

การเตรียมตัวก่อนผ่าตัดถุงใต้ตา
การเตรียมตัวก่อนผ่าตัดอย่างถูกวิธี เป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยให้การผ่าตัดเป็นไปอย่างปลอดภัย และลดความเสี่ยงของภาวะแทรกซ้อนหลังผ่าตัดแจ้งประวัติสุขภาพทั้งหมดให้แพทย์ทราบก่อนเข้ารับการผ่าตัด เช่น โรคประจำตัว ประวัติการใช้ยา ประวัติการแพ้ยา ประวัติการศัลยกรรมอื่น ๆ หยุดยาหรืออาหารเสริมบางชนิดก่อนผ่าตัด เช่น ยาต้านการแข็งตัวของเลือด น้ำมันปลา เพื่อป้องกันภาวะเลือดออกมากเกินไปขณะผ่าตัดพักผ่อนให้เพียงพอ 2-3 วันก่อนผ่าตัด และงดการใช้สายตาเป็นเวลานาน ดื่มน้ำให้เพียงพอ ลดอาหารเค็ม งดแอลกอฮอล์และบุหรี่ เพื่อช่วยลดอาการบวมหลังผ่าตัด

ขั้นตอนการผ่าตัดถุงใต้ตา
1.แพทย์ออกแบบหนังตาล่างบริเวณที่ต้องการตัดตกแต่ง
2.แพทย์ทำการเปิดแผล จากนั้นจะนำเอาไขมันส่วนเกินออก หรือจัดเรียงไขมันใหม่ตามปัญหาและความเหมาะสม
3.แพทย์ทำการตัดตกแต่งผิวหนังส่วนเกินใต้ตาล่าง เพื่อให้กระชับขึ้น
4.แพทย์จะเย็บปิดแผล โดยการเย็บซ่อนแผลชิดขอบขนตาล่าง เพื่อความเรียบเนียนของแผล

การดูแลหลังผ่าตัดถุงไขมันใต้ตา
- ในช่วง 2 วันแรกหลังผ่าตัด ให้ประคบด้วยความเย็นบริเวณหน้าผากและรอบดวงตา เพื่อลดอาการบวมและช่วยห้ามเลือด
- ควรนอนยกศีรษะสูง จะช่วยลดอาการบวมและทำให้อาการบวมยุบเร็วขึ้น
- หลังการผ่าตัด ให้ทายาขี้ผึ้งเคลือบบริเวณแผลตรงเปลือกตาตามแพทย์สั่ง
- รับประทานยาตามแพทย์สั่ง เช่น ยาแก้อักเสบ, ยาลดบวม ส่วนยาแก้ปวดให้รับประทานเฉพาะเวลาปวดแผล
- หลังผ่าตัด 3 วัน สามารถล้างทำความสะอาดหน้าได้ตามปกติ การล้างคราบสะเก็ดเลือดออก ควรใช้น้ำอุ่นและล้างอย่างเบามือ
- พบแพทย์เพื่อตัดไหม และติดตามผลการรักษาหลังผ่าตัดไปแล้วประมาณ 7 วัน
- รับประทานอาหารได้ตามปกติ ควรงดเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์และของหมักดอง
- หลังผ่าตัดช่วงแรกๆ ควรงดกิจกรรมที่ใช้สายตามาก เช่น ดูทีวี, อ่านหนังสือ เพราะอาจทำให้แผลอักเสบและหายช้า
- ในช่วง 1 สัปดาห์แรก ควรเปลี่ยนไปสวมแว่นตาแทนการใส่คอนแทคเลนส์ เพราะการดึงเปลือกตาเพื่อใส่คอนแทคเลนส์อาจทำให้แผลผ่าตัดแยกได้
รีวิวก่อนทำ-หลังทำ ผ่าตัดถุงใต้ตา

